การทำนา
ภาคเหนือ ทำการปลูกข้าวนาสวนในที่ราบระหว่างภูเขากันเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีระดับน้ำในนาตื้นกว่า ๘๐ เซนติเมตร และทำการปลูกข้าวไร่ในที่ดอนและที่สูงบนภูเขา เพราะไม่มีน้ำขังในพื้นที่ปลูก ส่วนมากชนิดของข้าวที่ปลูกเป็นทั้งข้าวเหนียวและ ข้าวเจ้า และในบางท้องที่มีการปลูกข้าวนาปรังด้วย แมลงศัตรูข้าวที่สำคัญ ได้แก่ แมลงบั่ว หนอนกอ เพลี้ยจักจั่นสีเขียว และสีน้ำตาล และโรคข้าวที่สำคัญ ได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคใบสีแสด และโรคถอดฝักดาบ ภาคนี้มีความอุดมสมบูรณ์ของดินนา ดีกว่าภาคอื่นๆ ข้าวนาปีทำการเก็บเกี่ยวในระหว่างเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สภาพของพื้นนาในภาคนี้เป็นที่ราบ และมักจะแห้งแล้งในฤดูปลูกข้าวเสมอๆ ชาวนาทำการปลูกข้าวนาสวน ทางตอนเหนือของภาคปลูกข้าวเหนียวอายุเบา ส่วนทางตอนใต้ปลูกข้าวเจ้าอายุหนัก แถบริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดอุบลราชธานี นครพนม และสกลนคร ได้มีแมลงบั่วทำลายต้นข้าวนาปีจนเสียหายเสมอ นอกจากนี้ ได้มีแมลงเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดด้วย โรคข้าวที่สำคัญได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง และโรคใบจุดสีน้ำตาล ความอุดมสมบูรณ์ของดินในภาคนี้เลวมาก บางแห่งก็เป็นดินเกลือ และมักจะมีความแห้งแล้งกว่าภาคอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการทำนาปรังน้อยมาก ข้าวนาปีจะทำการเก็บเกี่ยวในระหว่างเดือนตุลาคม และธันวาคม
ภาคกลาง พื้นที่ทำนาในภาคนี้เป็นที่ราบลุ่มทำการปลูกข้าวเจ้ากันเป็นส่วนใหญ่ ในเขตจังหวัด ปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี อุทัย ธานี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุพรรณบุรี และปราจีนบุรี ระดับน้ำในนาระหว่างเดือนกันยายนและพฤศจิกายน จะลึกประมาณ ๑-๓ เมตร ด้วยเหตุนี้ ชาวนาในจังหวัดดังกล่าวจึงต้องปลูกข้าวนาเมืองหรือข้าวขึ้นน้ำ นอกนั้นปลูกข้าวนาสวน และบางท้องที่ ซึ่งอยู่ในเขตชลประทาน เช่น จังหวัดนนทบุรี นครปฐม เพชรบุรี ปทุมธานี สุพรรณบุรี ชัยนาท และฉะเชิงเทรา ได้มีการทำนาปรังด้วย โรคข้าวที่สำคัญ ได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคใบสีส้ม โรคจู๋ และแมลงศัตรูข้าวที่สำคัญ ได้แก่ แมลงเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล แมลงเพลี้ยจักจั่นสีเขียว แมลงหนอนกอ ความอุดมสมบูรณ์ของดินดีปานกลาง และบางท้องที่เขตจังหวัดปทุมธานี นครนายก และปราจีนบุรี ดินที่ปลูกข้าวมีฤทธิ์เป็นกรด หรือเป็นดินเหนียว มากกว่าในท้องที่นาอื่นๆ ข้าวนาปีที่ปลูกเป็นข้าวนาสวน จะเก็บเกี่ยวในระหว่างเดือนตุลาคม และธันวาคม ส่วนข้าวนาปีที่ปลูกเป็นข้าวนาเมือง เก็บเกี่ยวระหว่างเดือนธันวาคม และมกราคม
ภาคใต้ สภาพพื้นที่ที่ปลูกข้าวในภาคใต้เป็นที่ราบริมทะเล และเป็นที่ราบระหว่างภูเขา ส่วนใหญ่ใช้น้ำฝนในการทำนา และฝนจะมาล่าช้ากว่าภาคอื่นๆ ด้วยเหตุนี้การทำนาในภาคใต้จึงล่าช้ากว่าภาคอื่น ชาวนาในภาคนี้ปลูกข้าวเจ้าในฤดูนาปีกันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยในเขตชลประทานของจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา มีการปลูกข้าวนาปรัง และปลูกแบบนาสวน บริเวณพื้นที่ดอน และที่สูงบนภูเขา ชาวนาปลูกข้าวไร่ เช่น การปลูกข้าวไร่เป็นพืชแซมยางพารา แมลงศัตรูข้าวที่สำคัญได้แก่ หนอนกอ เพลี้ยจักจั่นสีเขียว และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคข้าวที่สำคัญ ได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคดอกกระถิน โรคใบจุดสีน้ำตาล และโรคใบจุดขีดสีน้ำตาล นอกจากนี้ ดินนาก็มีปัญหาเกี่ยวกับดินเค็ม และดินเปรี้ยวด้วย วิธีการเกี่ยวข้าวในภาคใต้ แตกต่างไปจากภาคอื่น เพราะชาวนาใช้แกระเกี่ยวข้าว โดยเก็บทีละรวงแล้วมัดเป็นกำๆ ปกติทำการเก็บเกี่ยวในระหว่างเดือนพฤศจิกายน และกุมภาพันธ์
การปลูกพืชสวน/พืชไร่
ภาคเหนือ เป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยภูเขา แต่ก็ยังเป็นพื้นที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวได้อย่างดี โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้ภาคเหนือมีความพิเศษคือสภาพอากาศหนาวเย็น เปิดโอกาสให้เกษตรกรภาคเหนือได้ปลูกพืชเมืองหนาว ซึ่งหาไม่ได้จากเมืองร้อนอย่างไทย เช่นสตรอเบอรี่ บ๊วย พลับ กีวี่ พีช เสาวรส และผักเมืองหนาว
ภาคตะวันออก ป็นภาคที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นและฝนตกชุก ซึ่งเป็นพื้นที่เหมาะสมกับการปลูกไม้ผลเป็นอย่างยิ่ง แต่นอกเหนือจากทุเรียนแล้ว อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด สับปะรด และยางพาราก็เหมาะสมที่จะปลูกในภาคตะวันออก
ภาคใต้ ด้วยสภาพพื้นที่ยื่นออกไปในทะเลอันดามันและอ่าวไทย ภาคใต้จึงเป็นภูมิภาคที่มีฝนตกชุกมากที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งสภาพอากาศโดยรวมคือร้อนชื้น คล้ายคลึงกับภาคตะวันออกเป็นอย่างมาก จึงทำให้เป็นพื้นที่เหมาะสมกับการปลูกไม้ผลและพืชไร่หลายชนิด แต่หนึ่งในพืชที่เหมาะสมโดดเด่นที่สุดในภาคใต้คงหนีไม่พ้นปาล์มน้ำมัน ยางพารา และเงาะ ซึ่งสามารถปลูกได้ทั้งภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปถึงนราธิวาส ทว่านอกเหนือจากพืชสองชนิดนี้แล้ว กาแฟโรบัสต้าเองก็มีความเหมาะสมปานกลางที่จะปลูกในภาคใต้
การเลี้ยงสัตว์
สัตว์เคี้ยวเอื้อง สัตว์กลุ่มแรกเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีที่สุดหากพูดถึงสัตว์เศรษฐกิจ เพราะลักษณะที่เด่นชัดของพวกมันคือจะเน้นการกินหญ้าและทำปากเคี้ยวสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยกลุ่มสัตว์เคี้ยวเอื้องนี้มีหลายชนิด เช่นโค หรือ วัว มีทั้งโคเนื้อและโคนม ซึ่งการนำไปสร้างรายได้ก็ย่อมต่างกันออกไป โดยโคนมจะใช้น้ำนมในการทำรายได้ ส่วนโคเนื้อแน่นอนว่าต้องใช้เนื้อของพวกมันเป็นรายได้หลักให้กับเกษตรกร
- กระบือ หรือ ควาย ซึ่งปกติสายพันธุ์ในบ้านเราจะเรียกว่า ควายปลัก ซึ่งเน้นการใช้แรงงานเป็นหลัก จนกว่าจะใช้แรงไม่ไหวจึงนำไปแปรรูปต่อ กับอีกสายพันธุ์ที่ไทยนำเข้ามาอย่าง ควายนมหรือควายน้ำ ผลผลิตที่ได้จากพวกมันคือ น้ำนมเป็นหลักในการสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ
- แพะ หลายคนอาจไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วสัตว์เศรษฐกิจอีกชนิดที่คนไทยเลี้ยงกันคือ แพะ ซึ่งปกติจะเลี้ยงทางแถบภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยพันธุ์พื้นเมืองของเราให้น้ำนมน้อย ภาครัฐจึงมีการนำเข้าแพะสายพันธุ์ต่างประเทศเพื่อให้ได้น้ำนมเยอะขึ้น
- แกะ จะคล้ายกันกับแกะคือ เลี้ยงกันเยอะในแถบภาคใต้ ทว่าก็ยังไม่ค่อยให้ผลผลิตอย่างที่ควรเป็นมากนัก แม้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศในบางสายพันธุ์ จึงอาจนับว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ที่เมืองไทยยังต้องพัฒนาต่อไป
- เป็ด สัตว์ท้องถิ่นที่อยู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน แต่จริง ๆ แล้วเป็ดสายพันธุ์ของไทยโตช้าและให้เนื้อไม่ค่อยดีนัก จึงมีการนำเข้าเป็ด 2 ประเภท เข้ามาเป็นสัตว์สำหรับสร้างรายได้ให้กับผู้เลี้ยงแทน หลัก ๆ คือ เป็ดเนื้อที่จะให้เนื้อสำหรับบริโภค เติบโตในสภาพอากาศบ้านเราได้เป็นอย่างดี ขณะที่อีกกลุ่มเป็นเป็ดไข่ ที่ให้ผลผลิตเป็นไข่ ออกเป็นประจำ มีความมันและเปลือกหนากว่าไข่ไก่ จึงทำให้มีราคาสูงกว่า
- ห่าน แม้ในเมืองไทยอาจยังไม่ค่อยนิยมบริโภคมากนักแต่ก็ถือว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจกลุ่มเล็ก ๆ ที่ยังพอสร้างรายได้ให้กับผู้เลี้ยงในระดับหนึ่ง
- นกกระทา สัตว์อีกชนิดที่อาจไม่ได้นิยมมากนัก แต่ก็ถือว่าสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรได้พอสมควร ปกติแล้วมักจะเลี้ยงเพื่อเอาไข่เป็นหลัก แต่ในปัจจุบันเองก็มีบ้างที่จะนำเนื้อมาบริโภค
- ไก่งวง ไก่ประเภทหนึ่งที่จะมีเนื้อหา จริง ๆ แล้วทางฝั่งตุรกีหรือยุโรปจะนิยมทาน ทว่าเมืองไทยเราเองก็ยังพอมีเลี้ยงและนำไปบริโภคหรือขายกันบ้าง แม้ไม่แพร่หลายนักแต่ก็ยังพอทำรายได้
สัตว์น้ำ ปิดท้ายกันด้วยสัตว์เศรษฐกิจที่ต้องอาศัยน้ำในการเลี้ยงดู นั่นคือกลุ่มสัตว์น้ำที่มี ความหลากหลายมาก ๆ ไม่ใช่แค่ปลาเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ยังถูกแบ่งออกเป็นน้ำจืดกับน้ำเค็มอีกด้วย
- สัตว์น้ำจืด นิยมเลี้ยงกันทางภาคกลาง แต่ถ้าเป็นน้ำเค็มจะมีทั้งการจับจากทะเลและการเลี้ยงริมทะเลตามแถบจังหวัดชายฝั่งนั่นเอง โดยขอแยกให้เห็นภาพดังนี้สัตว์น้ำจืด มีหลายชนิดที่เป็นสัตว์เศรษฐกิจ เช่น ปลานิล, ปลาดุก, ปลาสลิด, กุ้งกุลาดำ, ปลาสวาย, ปลาช่อน, ปลาตะเพียนขาว, ปลาแรด รวมถึงกบ ก็จัดเป็นกลุ่มสัตว์เศรษฐกิจที่สร้างรายได้กันพอสมควร
- สัตว์น้ำเค็ม อย่างที่กล่าวไปว่ามีทั้งการเลี้ยงและการออกไปจับในท้องทะเล ซึ่งสัตว์ที่ได้รับความนิยม เช่น กุ้งทะเล, หมึกทะเลสายพันธุ์ต่าง ๆ, ปลาทู, ปลาเก๋า, ปลากะพง, หอยแครง หอยแมลงภู่ และอื่น ๆ อีกหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับการเลือกทำประมงของแต่ละท้องถิ่น
No comments:
Post a Comment